กำเนิดเทคโนโลยีสารสนเทศ
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม มีการตั้งถิ่นฐานอยู่กันเป็นหมู่เหล่าตั้งแต่โบราณกาลมาแล้ว หน่วยเล็กที่สุดของสังคมคือครอบครัว ถัดขึ้นมาเป็นหมู่บ้าน ตำบล ฯลฯ จนในที่สุดเป็นเมือง เป็นประเทศมนุษย์แต่ละหมู่เหล่ามีการติดต่อพบปะกัน เพื่อแลกเปลี่ยนอาหาร สิ่งของเครื่องใช้ ยารักษาโรค ฯลฯ ที่ชุมของตนไม่สามารถผลิตได้หรือผลิตได้ไม่เพียงพอ จนเกิดเป็นการค้าขายระหว่างหมู่บ้าน ระหว่างตำบล เมือง และประเทศขึ้น การติดต่อเช่นนี้ ทำให้เกิดการส่งและรับข้อมูลข่าวสารถึงกัน แรกๆก็เป็นการบอกกันปากต่อปาก ต่อมาก็มีการสื่อสารกันด้วยตัวอักษรที่จารึกบนวัสดุต่างๆ ซึ่งมากลายเป็นการส่งจดหมายถึงกัน ความต้องการสื่อสารกันด้วยวิธีการที่หลากหลายขึ้น และมีความรวดเร็วมากขึ้น ทำให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของเทคโนโลยีโทรคมนาคม ซึ่งอาศัยหลักวิชาทาง วิศวกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เปลี่ยนคำพูด ข้อความหรือภาพเป็นสัญญาณไฟฟ้าส่งไปตามสาย หรือเปลี่ยนเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า(เรียกว่า คลื่นวิทยุ)กระจายไปในอากาศ เมื่อถึงปลายทาง สัญญาณหรือคลื่นที่ส่งไปนั้น ก็จะถูกคืนสภาพให้กลับเป็นเป็นคำพูดข้อความหรือภาพเหมือนกับสิ่งที่ส่งออกไปจากต้นทางพัฒนาการของเทคโนโลยีโทรคมนาคมนี้ ทำให้คนที่อยู่คนละซีกโลกกันสามารถรับรู้ข่าวสารของกันและกันได้ภายในชั่วพริบตา เพราะอัตราเร็วของการเดินทางของสัญญาณไฟฟ้าตามสายหรือของคลื่นวิทยุนั้น อยู่ในระดับเดียวกับความเร็วของแสง เช่น เหตุร้ายจากการก่อวินาศกรรมโดยใช้เครื่องบินโดยสารที่ถูกจี้บังคับมาชนตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ที่นครนิวยอร์ค เมื่อวันที่11กันยายน พ.ศ.2544นั้นคนทั้งโลกได้เห็นเหตุการณ์สดๆ ผ่านเครือข่ายข่าวโทรทัศน์ของซีเอ็นเอ็นเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่พึ่งมีขึ้นในช่วงเวลาประมาณ20ปีที่ผ่านมานี่เอง เป็นเทคโนโลยีที่เกิดจากการรวม2เทคโนโลยีเข้าด้วยกัน คือ เทคโนโลยีโทรคมนาคม กับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ คำว่า สารสนเทศ หมายถึง ตัวเนื้อหาของข้อมูลข่าวสาร เราใช้คอมพิวเตอร์ทำหน้าที่รวบรวม จัดเก็บ ปรับเปลี่ยนรูปแบบของสารสนเทศและใช้เทคโนโลยีโทรคมนาคมซึ่งพัฒนามาจากเครือข่ายโทรทัศน์และเครือข่ายวิทยุมาสร้างระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขึ้น เป็นการนำเอาความสามารถของคอมพิวเตอร์(คำนวณ เปรียบเทียบ และตรวจสอบ ได้รวดเร็ว ถูกต้องแม่นยำ)มารวมกับความสามารถของระบบโทรคมนาคม(ติดต่อได้รวดเร็วและกว้างไกล)ดังนั้น เทคโนโลยีสารนเทศ จึงหมายถึง เทคโนโลยีที่ใช้ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มาจัดการกับสารสนเทศนั่นเอง
รูปที่1.1ภาพเหตุการณ์เครื่องบินพุ่งชนตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ นครนิวยอร์ค ที่เครือข่ายข่าวโทรทัสน์ซีเอ็นเอ็น แพร่ภาพถ่ายทอดสดไปทั่วโลกทันทีที่เกิดเหตุการณ์ปัจจุบันนี้ มีการใช้คำว่า เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งตรงกับคำภาษาอังกฤษว่าInformation and Communication Technology:ICTกันอย่างแพร่หลายนักเรียนอาจไม่เข้าใจว่าเหตุการณ์ใดจึงต้องมีคำว่า”การสื่อสาร”มาพ่วงท้ายอีกในเมื่อเทคโนโลยีสารสนเทศก็มีเทคโนโลยีโทรคมนาคม(ซึ่งก็เกิดการสื่อสารนั่นเอง)รวมอยู่ด้วยแล้ว เรื่องนี้มีเหตุผลเบื้องหลังคือ ในขณะที่เทคโนโลยีสารสนเทศซึ่งพัฒนาบนพื้นฐานของระบบคอมพิวเตอร์เป็นหลักกำลังเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว ทางอีกด้านหนึ่ง เทคโนโลยีการสื่อสาร(โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสื่อสารไร้สาย)ก็กำลังพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน และทำให้เกิดการใช้งานในรูปแบบใหม่ๆมากขึ้น โดยไม่ต้องอาศัยระบบคอมพิวเตอร์ ตัวอย่าง เช่น การทำธุรกรรมต่างๆ ผ่านโทรศัพท์มือถือได้แก่m-Shopping(การซื้อสินค้าผ่านโทรศัพท์มือถือ)m-Banking(การสั่งจ่ายเงินหรือโอนเงินจากธนาคารผ่านโทรศัพท์มือถือ)เป็นต้น นอกจากนี้บริการสอบถามและแจ้งข้อมูลทางโทรศัพท์ซึ่งใช้ได้ตลอด24ชั่วโมงทุกวัน ที่เรียกว่าบริการ“CallCenter”นั้น ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของพัฒนาการใหม่ด้านการสื่อสารในกรณีของCallCenterนั้นแม้ว่าจะต้องมีระบบคอมพิวเตอร์ติดตั้งอยู่ทางด้านผู้ให้บริการ แต่ทางด้านผู้รับบริการใช้เพียงโทรศัพท์เท่านั้น ก็สามารถรับบริการได้ ซึ่งแตกต่างจากระบบเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างอินเตอร์เน็ต ที่ผู้ใช้บริการต้องมีระบบคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับเครือข่าย อย่างไรก็ตามในอนาคตไม่ไกลนัก เทคโนโลยีสารสนเทศและเทคโนโลยีการสื่อสารมีแนวโน้มจะรวมเข้าด้วยกัน ดังจะเห็นได้จากโทศัพท์มือถือรุ่นใหม่ๆ ที่สามารถรับส่งอีเมลได้ในขณะเดียวกัน คอมพิวเตอร์พกพาบางรุ่นก็สามารถใช้เป็นโทรศัพท์มือถือได้ด้วย ปรากฏการณ์ของการมาบรรจบกันของเทคโนโลยีทั้งสองนี้ เรียกว่า คอนเวอร์เจนซ์ Convergence